โรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ

            โรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma inguinale) หรือคนทั่วไปเรียกโรคฝีมะม่วงเทียม (Pseudo bubo) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษใช้กันอีกหลายชื่อ ได้แก่ Granuloma genitoinguinale, Granuloma inguinale tropicum, Granulo ma venereum, Granuloma venereum genitoinguinale, และ Donovanosisโรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis (ก่อนหน้านี้เรียกว่า Calymmatobacterium granulomatis) ซึ่งทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศและบริเวณขาหนีบ โรคนี้พบได้น้อยในประเทศไทย จะพบมากแถวในประเทศแอฟริกา และพบเกิดในผู้ชายได้บ่อยกว่าในผู้หญิงประมาณ 2 เท่า

อาการของโรค

          การติดเชื้อ Klebsiella granulomatis มีระยะฟักตัวของโรคไม่แน่นอน อาจเป็นไม่กี่วันจนนานเป็นปีก็มีที่นับจากวันสัมผ้สโรค แต่โดยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 10 - 40 วัน เชื้อนี้จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อนั้นแบ่งตัวเจริญมากกว่าปกติจนทำให้เกิดเป็นก้อนนูนๆขึ้นมา และต่อมาจะปริแตกกลายเป็นแผลเรื้อรังซึ่งแผลมักจะลามออกไปเรื่อยๆ บริเวณส่วนใหญ่ที่พบแผลคือ ผิวหนังบริเวณขาหนีบ (อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้) และแผลที่อวัยวะเพศที่เกิดได้ทั้งในผู้ชายและในผู้หญิง โรคนี้มักไม่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งจะต่างจากโรคฝีมะม่วง (Lymphogranulama venereum) ที่จะเกิดการติดเชื้อที่ต่อมน้ำ เหลืองที่ขาหนีบเป็นส่วนใหญ่และทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต  แผลที่เกิดจากโรคนี้ ช่วงแรกมักไม่เจ็บ จึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นแผลที่เกิดจากโรคซิฟิลิส แต่หากมีการติดเชื้อซ้ำที่แผลจากแบคทีเรียตามผิวหนัง จะทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย

กลุ่มเสี่ยง

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงให้เกิดแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบคือ
  • ผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือขาหนีบแล้วมีเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่สัมผัสแผลผู้ที่เป็นโรคนี้ที่รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบทั่วไป เพศสัมพันธ์ทางปาก และ/หรือทางทวารหนัก
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายต่ำหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่น ผู้ติดเชื้อ HIV, ผู้ ป่วยเบาหวาน, ผู้กินยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่างๆ (เช่น ในผู้ป่วยโรคออโตอิมมูน)

การตรวจเชื้อ

       แพทย์วินิจฉัยโรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบได้จาก

  1. ประวัติทางการแพทย์: มีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอน หรือสัมผัสแผลของคนที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ หรือมีก้อนบริเวณขาหนีบ โดยมักจะมีประวัติมีแผลหรือก้อนมานานเป็นเรื้อรังรักษาไม่หายขาด
  2. ตรวจร่างกาย: ลักษณะที่ตรวจพบในผู้ที่เป็นโรคนี้มีได้หลายลักษณะที่พบบ่อย ได้แก่

  • เป็นตุ่มนูน/ก้อนตรงบริเวณที่ติดเชื้อเช่น ขาหนีบหรืออวัยวะเพศ โดยลักษณะเริ่มแรกของการติดเชื้อ ก้อนจะมีลักษณะนิ่มๆ บางครั้งมีหนองได้ หากเป็นที่ขาหนีบจะทำให้เกิดก้อนนูน
  • เป็นแผลเรื้อรังบนก้อนนูนซึ่งเป็นลักษณะที่ตรวจพบบ่อยที่สุด พบได้ที่ขาหนีบและ/หรืออวัยวะเพศ แผลมักจะไม่เจ็บ แผลมักขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ทำให้เกิดเป็นหนอง มีอาการเจ็บปวดได้
  • เป็นรอยแผลเป็น/พังผืดดึงรั้งร่วมกับมีการบวมของอวัยวะใกล้เคียง อาจมีการบวมบริเวณ อวัยวะเพศ ขาหนีบ ขา
  • เป็นก้อนเนื้อคล้ายหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ แต่ลักษณะนี้พบได้น้อย
  • นอกจากนี้ หากแผล/สารคัดหลั่งจากแผลมีการสัมผัสกับเนื้อเยื่อ/อวัยวะส่วนอื่นๆของร่าง กายโดยเฉพาะที่เป็นแผล สามารถทำให้เกิดแผลโรคนี้ที่ตำแหน่งนั้นๆที่สัมผัสโรคได้ เช่น ที่ริมฝีปาก ผนังหน้าท้อง แขน ขา
  • เคยมีรายงานว่า โรคนี้สามารถกระจายไปตามกระแสเลือดได้ จึงอาจทำให้พบเชื้อนี้ที่ ตับ ไต กระดูก ได้
      3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ได้แก่
  • การป้ายเนื้อเยื่อบริเวณก้นแผลเพื่อตรวจเชื้อนี้โดยการย้อมสีที่เรียกว่า Giemsa ซึ่งเมื่อตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตัวเชื้อจะมีการติดสีชัดเจนบริเวณขั้ว 2 ข้างของเชื้อ ทำให้ดูคล้ายเป็นเข็มกลัด (Safety pin)
  • การตัดชิ้นเนื้อที่แผลเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

การตวจรักษา

          โรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง จึงติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยการสัมผัสกับผู้ที่มีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ โดยเฉพาะหากผู้ที่ไปสัมผัสแผลนั้นๆมีแผลที่ตนเองอยู่ด้วย จะทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น ส่วนการไปสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ผู้ป่วยมีโอกาสติดน้อย หากตัวผู้สัมผัสไม่มีแผลเปิดแพทย์รักษาโรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ โดยให้รับประทานยาปฏิชีวะนะ โดยต้องให้ยาเป็นระยะเวลานาน 3 - 12 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและความรุนแรงของอาการ และต้องให้ยาต่อจนกว่าแผลจะดีขึ้นและยุบหายไปตัวอย่างยาปฏิชีวนะเช่น Bactrim, Doxycycline, Ciprofloxacin, Azithromycin ซึ่งการจะเลือกใช้ยาตัวใดจะอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ โดยดูจากความรุนแรงของแผล การตอบสนองของแผลต่อยาที่ใช้ และประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่นมาก่อนหรือไม่อนึ่ง:
  • เนื่องจากโรคนี้มีระยะฟักตัวของโรคไม่แน่นอน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยภายใน 60 วัน ก่อนผู้ที่เป็นโรคจะแสดงอาการ ควรตามตัวมารับการรักษาด้วย
  • โรคนี้สามารถติดต่อจากสัมผัสแผลของผู้ติดโรคได้ แม้จะไม่มีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นผู้สัมผัสแผลโรคนี้จึงควรต้องได้รับการรักษาด้วยเช่นกัน

การดูแลรักษา

         การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบหลังจากพบแพทย์แล้วคือ

  • ปฏิบัติตามแพทย์พยาบาลแนะนำ
  • กินยาที่แพทย์สั่ง ให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าไม่พบมีแผลแล้ว และการมีเพศสัมพันธ์ต่อไปหลังไม่มีแผลแล้วต้องใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้ง
  • ตรวจเลือด หาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆที่อาจจะพบร่วมด้วยเช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี  นอกจากนี้ควรตรวจหาภาวะเบาหวานด้วยเพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเรื้อรังได้
  • สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบายเพื่อไม่ให้ไปกดทับ/เสียดสีแผล
  • รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ลดการติดเชื้อซ้ำซ้อนด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • ทำแผลทุกวันตามแพทย์พยาบาลแนะนำ ซึ่งโดยทั่วไปมักทำแผลวันละ 2 ครั้งเช้า เย็น การทำแผลโดยเช็ดแผลด้วยสำลีสะอาดที่ชุบน้ำเกลือล้างแผล (Normal saline) เพื่อเช็ดสารคัดหลั่งที่ปกคลุมแผลออก ลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ ส่วนจะปิดแผลหรือไม่ขึ้น กับขนาดของแผลและการใช้ชีวิตประจำวัน จึงควรสอบถามจากแพทย์พยาบาลที่รักษา ดูแล
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ

การป้องกัน

          ป้องกันโรคแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบได้โดย
  • สวมถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์
  • งดมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศและขาหนีบ
  • ไม่สัมผัสแผลหรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้มีแผลต่างๆที่รวมถึง แผลที่อวัยวะเพศและ/หรือขาหนีบ
  • รักษาสุขภาพร่างกายด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ไม่สำส่อนทางเพศ
  • ไม่ดื่มสุราเพราะจะทำให้ขาดสติ เกิดการสำส่อนทางเพศได้ง่าย